กว่าจะได้มาทำงานที่ hilltribe.org ผมได้ผ่านการพูดคุยกับพี่หมูทาง email อยู่หลายครั้ง หลายวันกว่าจะตอบกลับมาครั้งนึง จนสงสัยว่าเค้ารีบหรือไม่รีบรับเจ้าหน้าที่กันแน่ แล้วเรื่องก็ดำเนินไปถึงว่าให้ไปพูดคุยกับพี่ลักษณ์ที่กรุงเทพฯ ดูว่าอย่างไร คุยไปคุยมาก็ได้ข้อสรุปให้ไปลองเข้าโครงการครูอาสาดูก่อนแล้วว่ายังไงก็ค่อย ว่ากันต่อไป (เป็นการสัมภาษณ์งานที่ประหลาดและงงๆ ดีแท้)
รอกำหนดการ โครงการครูอาสาอยู่ 2 สัปดาห์ ก็เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่เพื่อเอาของไปฝากบ้านอี๊มาลาแล้วก็เดินทางต่อไปเชียงราย เดินหาที่พักอยู่นานกว่าจะได้ที่พักราคาถูกก็ค่ำมืด
รุ่งเช้าออกมาพบ กันที่ บขส. ก็ได้พบกับบรรดาครูอาสาอยู่กลุ่มนึง สังเกตไม่ยากเลย ประมาณพวกนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ นี่แหละหลังจากรวบรวมคนได้แล้วเราก็นั่งรถเดินทางไปยังศูนย์กระจกเงาและเมื่ อไปถึงที่หมาย ภาพที่ได้เห็นก็ไม่ได้ต่างจากที่ดูในเว็บไซต์สักเท่าไรเลย มันดูสวยงามและดูน่าอยู่พอสมควร เป็นเหมือนหมู่บ้านเล็ก มีบ้านเล็กบ้านน้อยอยู่ 5-6 หลังแล้วก็มีห้องพักทำจากบ้านดิน ดูแล้วละม้ายคล้ายรีสอร์ทเล็กๆ ก็ไม่ปาน
ถึงเวลาก็มีการปฐมนิเทศพูดค ุยกัน เปิดเรื่องเกี่ยวกับศูนย์กระจกเงา ความเป็นมาและแนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินทางสู่หมู่บ้าน "แม่สลักเย้า" เป็นหมู่บ้านที่เราจะไปพัก หลังจากไปถึงแล้วก็จะมีการให้เด็กๆ เลือกคุณครูที่จะพาไปพักที่บ้าน เด็กๆ ก็มักจะเลือกแต่ครูผู้หญิง ส่วนผู้ชายเหลือทิ้งเอาไว้จนต้องไปขออาศัยบ้านที่เหลืออยู่ด้วย โชคดีที่บ้านของเด็กที่ไปอยู่ มีเด็กโตอยู่ด้วยประมาณ ม.6 ทำให้พูดคุยกันง่ายขึ้น ภาษาไทยก็คล่อง ส่วนไอ้เด็กที่บ้านมันก็ไม่ยุ่งกับครูผู้ชาย อยู่แต่กับครูผู้หญิงตลอดเวลา เด็กเวร!!
ฐานะของคนในหมู่บ้านถ้าดูจากภายนอกก็เรียกได้ว่าไม่ค่อยต่ างกันสักเท่าไรเพร าะดูทุกบ้านก็คล้ายๆ กันไปซะหมด แต่พอดูเข้าไปจริงๆ แล้วค่อนข้างที่จะแตกต่างกันมาก ดูได้จากอาหารการกินของแต่ละที่เปรียบเทียบกัน ส่วนบ้านที่ผมไปอยู่นั้นฐานะค่อนข้างดีทีเดียว มีพวกเครื่องปรุงครบถ้วน มีเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ พร้อมสรรพ
ภายในวันนั้นขณะทำกับข้าวผม ก็ได้นั่งคุยกับ "เฝย" เด็กโตในบ้านที่ว่า ผมก็พูดคุยทั่วๆ ไปเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน การดำรงชีวิตและอื่นๆ แต่มีอยู่อย่าง 1 ที่ผมสนใจ คือ ผมถามว่าถ้าเกิดไม่ต้องหาเงินเข้าบ้านแล้วจะอยู่ได้หรือไม่ คำตอบคือ ได้ เพียงแต่ว่าจะไม่รวยเท่านั้นเอง !! อืม ใช่ เท่านั้นเอง อย่างน้อยผมก็ใจชื้นว่าหนทางชีวิตแบบนี้มันก็ยังมีอยู่นะ ซึ่งมันเป็นแบบที่ผมไม่คุ้นเคยมาก่อน คือ ถึงแม้ว่าจะไม่มีเงินใช้แต่ก็ยังไม่อดตาย !! นี่นับได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตของผมเลยจริงๆ
ในทุกค่ำคืนก็จะมี กิจกรรมรอบกองไฟตั้งวงสนทนาหรือเล่นเกมกัน แน่นอนว่าต้องมีไอ้เพลงกับท่าเต้นสุดคลาสสิคอย่าง "ไก่ย่างถูกเผา" ที่แม้แต่เด็กๆ ชาวเขา ยังรู้จักและเต้นได้ นับได้ว่าเป็นดินแดนที่ชาวมหาลัยเข้าถึงได้อย่างแท้จริงเลยทีเดียว
ค ืนสุดท้ายก่อนเดินทางไปค้างคืนที่ โรงเรียนบ้านห้วยชมภู จะมีการแบ่งคุณครูเข้าห้องเรียนก่อนในคืนนั้นว่าใครจะเข้าสอนชั้นไหนบ้าง งานนี้ไม่ต้องคิดมากผมเลือกเด็กโตสุดในโรงเรียน คือ ชั้น ม.3 เหตุผลเพราะว่าผมคงคุยกับเด็กตัวน้อยๆ ไม่รู้เรื่องเป็นแน่ คืนนั้นผมก็ได้แต่นอนคิดว่าจะสอนอะไรดี คิดเตรียมไปหลายอย่างกลัวว่าจะไม่พอแต่ที่ไหนได้แค่เรื่องเดียวก็หมดวันแล้ว
ต ื่นเช้าได้เวลาเดินทางไปโรงเรียน เหล่าบรรดาครูอาสาได้ใช้เวลาในช่วงเช้าประมาณ 1 ชม. เดินเท้าไปโรงเรียนพร้อมกับเด็กๆ พอไปถึงก็แนะนำตัวครูอาสากันที่หน้าเสาธงแล้วก็แยกย้ายกันเข้าห้องสอน
ผ มเริ่มจากการถามเด็กๆ ในชั้นว่ารู้จัก internet กันหรือไม่หรือว่าได้เคยใช้กันบ้างหรือยัง ปรากฏว่าที่นี่โทรศัพท์ยังเข้าไม่ถึง ผมก็ลงมืออธิบายกันเลยว่า มันคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร แล้วเราจะใช้งานมันอย่างไรบ้าง ระหว่างสอนก็ยอมรับว่าสอนไปสอนมาก็สนุกดี งานนี้เลย psycho เข้าไปเต็มที่ตามแบบฉบับของตัวเอง
วันรุ่งขึ้นเตรียมตัวเดินทางกลับก ็ได้สรุปงานกันในตอนเช้า ให้ครูทุกๆ คนถอดความรู้สึกออกมา ท่ามกลางเสียงร้องของเด็กๆ ที่พร้อมเพียงกันดังมากๆ จนไม่มีสมาธิ ดังนั้นเลยก่อนจะกลับก็จบลงด้วยการร่ำ(ไห้)ลา ครูอาสาหลายคนก็ร้องตามเด็กๆ ไปด้วย ไม่น่าเชื่อว่าแค่เพียงวันเดียวจะผูกพันธ์กันได้ถึงเพียงนี้หรืออาจจะเป็นเพ ราะว่าเจอกันแค่วันเดียวก็เป็นได้เลยยังรู้สึกไม่เต็มอิ่มเพราะยังรู้สึก เห่อคุณครูวัยรุ่นจากเมืองหลวงกันอยู่
"ส่วนตัวผมนั้นไม่เคยและไม่เค ยที่จะคิดออกค่ายอาสามาก่อนในชีวิต (แม้แต่ครั้งนี้) เพราะ ผมมักจะคิดอยู่เสมอว่ามันเป็นสนามเด็กเล่นเพื่อจับกลุ่มกันหาทางสังสรรค์ พบปะประสบการณ์อันแปลกใหม่ เฮโลกันไปมา เหมือนเด็กมหาลัยจับกลุ่มกันไปเที่ยวภูกระดึง แต่การมาในคราวนี้ผมถึงได้มองเห็นข้อดีของโครงการนี้อยู่อย่าง 1 คือ ถึงแม้จุดประสงค์ของบรรดาค่ายอาสาของแต่ละคนนั้นจะไม่ใช่ด้วยอุดมการณ์อะไรแ ต่แรกเริ่มก็ตามเถอะ แต่อย่างน้อยก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการที่จะได้สัมผัสมันแล้วอาจจะเปลี่ยน แปลงแนวความคิดได้ ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะคิดว่าตัวเองไม่ค่อยมีค่าในสภาพแวดล้อมที่ตัวเองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนเกเร เรียนหนังสือไม่เก่ง ไม่ร่ำรวย (เหล่านี้ผมยกตัวอย่างของค่านิยมในสังคม) หรือ วันๆ ได้แต่ทำงานเป็นกุลีของใครก็ตามที แต่สำหรับที่นี่นั้นพวกเราทุกคนมีค่ามากมายอย่างมหาศาลแน่นอน"
21 พ.ย. 2548
MrsJan
21 พฤศจิกายน 2548
20 กรกฎาคม 2548
E-Invitation
18 กรกฎาคม 2548
Wedding gift CD cover
28 กุมภาพันธ์ 2548
Re: Farewell

ข อบคุณสำหรับ surprise ไม่รู้ว่าคิดได้ยังไง(วะ) ที่ทำให้ฉันมองไม่เห็นกระทู้ ก็ขอเขียนบ้างละกัน เป็นการส่งท้าย จิงๆ กะว่าจะเขียนบทความอีกเพียบเลย มีหัวข้อเรื่องให้เขียนเยอะ แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่ได้เขียน เนื่องจากต้อง clear งานเยอะมาก
เอาเป็นว่าจะพูดถึง ที่ ibn นี่ก่อนละกัน อยากจะบอกว่า ibn นี่เป็นดินแดนแห่งโอกาสเลยจิงๆ ก็ว่าได้ ขอแค่ความตั้งใจอย่างทุ่มเทบวกกับการคิดที่ทำอะไรใหม่ๆ แล้วทีนี้ไม่ว่าจะสิทธิพิเศษ หรือ จะต้องการอุปกรณ์ support อะไร ที่นี่ก็พร้อมที่จะให้เราได้ทุกๆ เรื่องและพร้อมจะผลักดันให้ทุกคนได้เติบโต แต่ก็ต้องขอบอกไว้อีกอย่างนึงว่า การตั้งใจหรือขยันทำงานอย่างเดียวต้องไม่พอแน่นอน ไม่ว่าเราจะทำอะไร อย่างน้อย ก็ต้องมีความกล้าบวกความมั่นใจด้วยว่าเรื่องที่เราทำนั้นดีและได้ผลอย่างไร พูดง่ายๆ ว่า ทำอะไรก็ตามควรที่จะพูดหรือหาทาง present ตัวเองออกมาให้ได้ด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร นี่คือในกรณีที่ต้องการจะเติบโต แต่ถ้าไม่ต้องการก็ไม่เป็นไร แต่แน่นอนว่าความสะดวกสบายจากการทำงาน ที่เป็นผลพลอยได้นี้ จะมีประโยชน์กับเราทุกๆ คนแน่นอน
เรื่องต่อไปจะพูดถึงการทำงานเกี่ยว กับการทำโปรแกรม หลายคนคงจะสงสัยว่าทำไมช่วงนี้ โปรแกรมที่มีอยู่แล้วทำไมจะต้องทำใหม่ แล้ว process ก็เปลี่ยนไปบ้าง นั่นเป็นเพราะที่ผ่านมาเรายังไม่มีระบบที่เพียบพร้อม ที่จะทำให้โปรแกรมต่อเติมได้ในอนาคต ดังนั้นโปรแกรม อันเก่าๆ มันถึงทางตันของตัวมันเองแล้วและไม่สามารถทำงานกับระบบใหม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องเปลี่ยน ซึ่งระบบใหม่ที่ว่าเพียบพร้อมและแสนดีอย่างที่ว่านี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือ โปรแกรม Ibn Portal Reloaded ที่เราใช้กันอยู่นั่นเองและผมมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การเปลี่ยนแปลงคราวนี้จะอยู่กับเราไปอีกนานตราบเท่าที่ technology ที่เราลงแรงทำกันไปนั้นยังไม่ out date ครับ
เรื่องต่อไปจะขอแก้ความ เข้าใจเสียใหม่ หลายคนคงจะเห็นว่าผม มักจะเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ รัฐบาล (IBN) อยู่เสมอ ดังนั้น จะบอกว่าจิงๆ แล้วผมไม่ได้เข้าข้างหรือจงเกลียดจงชังฝ่ายไหนทั้งนั้น แต่ผมจะอยู่ข้างที่ผมเห็นว่าถูกต้องในความเข้าใจของผมเท่านั้นครับ
อ ีกเรื่องที่ว่าผมจะไปทำอะไร ที่ไหนและคิดอะไรนั้น ก็อยากจะบอกว่า ผมไม่ใช่ นักบุญ ไม่ใช่ แม่ชีเทเรซา ไม่ใช่ หมอ (เทวดา) พรทิพย์ และไม่ใช่นักวิชาการ การที่ผมได้พอใจตรงนี้แล้วนั้น เป็นเพราะว่าผมได้ทำสำเร็จไปแล้วในเรื่องนึง ในสิ่งที่ผมได้ต่อสู้กับมันมานาน ซึ่งกว่าจะได้ทำและทำมันได้สำเร็จนั้น เหนื่อยยากมาก ผมต้องต่อสู้ยังไงน่ะเหรอ ก็โดยการ ปฏิเสธงานที่ request มาหลายๆ อย่างจากหลายๆ คนที่ทางเราไม่ได้ทำให้ ก็ต้องขอโทษตรงนี้ด้วย แต่เราก็ต้องยอมเสียตรงนี้เพื่อที่จะได้โปรแกรมที่จะเป็นประโยชน์กับทั้งทาง ทีม programmer และ กับทุกๆ คนในอนาคตและเพียบพร้อมไปด้วยทีมงานที่ช่วยกันทำมันขึ้นมาอย่างขยันขันแข็ง และช่วยแบ่งเบางานที่ load อยู่ของผมไปได้มาก และถ้าจะให้อธิบายว่า โปรแกรมนี้มันสำคัญกับทีมเราอย่างไรคงต้องอธิบายกันยาวเลยและไม่รู้ว่าเขียน ไปแล้วจะเข้าใจหรือป่าวเลยบอกได้แค่นี้เท่านั้น
ทีนี้กลับมาว่า แล้วผมจะไปทำอะไรต่อ ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าผมไม่ใช่ นักบุญผู้เสียสละและไม่ใช่นักประท้วงก่อความไม่สงบ แต่ที่ผมอยากจะทำคือ ต้องการองค์ความรู้ที่ว่าเราจะอยู่รอดในโลกนี้ได้อย่างไรโดยที่เราไม่จำเป็น ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกให้มากนักหรือให้น้อยที่สุดและพลิกบทบาทชีวิตตัวเอง ไปในอีกแบบนึง ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะเป็นประสบการณ์ที่ท้าท้ายตัวเองอีกมาก แล้วความรู้ที่ได้ผมจะรวบรวมเป็นเอกสารหรืออาจจะได้หนังสือสักเล่มนึง เลยอยากจะบอกว่าจริงๆ แล้ว ผมก็ทำเพื่อตัวเองนั่นแหละ เพียงแต่คนอื่นที่เกี่ยวข้องอาจจะได้อานิสงค์ จากความรู้ที่ผมได้เรียบเรียงจากประสบการณ์จริงๆ นั้นนำไปใช้ประโยชน์ได้ ก็เท่านั้นเองครับ
สุดท้ายนี้ ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะว่ามามากพอแล้ว ก็พอแค่นี้ละกัน แค่นี้พวกเราก็คงจะไม่อ่านกันแล้ว สวัสดีครับ
บทความส่งท้าย ณ.วันสุดท้ายที่ ibn
28 ก.พ. 2548
MrsJan
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)