ช่วงนี้ผมมีปัญหากับทางบ้านอีกแล้ว ซึ่งบางครั้งผมก็คิดว่าทำไมผมจะต้องหาเรื่องให้ได้เถียงกันด้วย ทำไมไม่ทำตามๆ เค้าดูบ้างจะได้หมดเรื่อง แต่ก็ต้องกลับมาถามตัวเองในภายหลังอีกนั่นแหละว่าทำไมคราวนั้นถึงไม่ทำอย่างนี้ ก็ต้องเลือกเอาว่าจะขัดแย้งกับคนอื่นหรือจะขัดแย้งกับตัวเอง
ผมเกิดในครอบคร้วคนจีนแท้ๆ อพยพจากเมืองจีนแท้ๆ ไม่มีผสม แม้แต่ญาติพี่น้องใครแต่งกับใคร ยังไง แน่นอนว่าต้องจีนร้อยเปอร์เซนต์ เพราะไม่อย่างนั้นอาม่าต้องบ่นแน่นอน ทีนี้ไอ้หลานไม่รักดีคนนี้ก็ไม่เคยทำอะไรให้ถูกใจไปซะทุกอย่าง ตั้งแต่ สะใภ้ก็ไทย (คนจีนจะมีอคติกับคนไทยเหมือนในละคร) ไปอาศัยที่นาฝ่ายหญิงจะปลูกบ้าน (เหมือนแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง) ไปทำการเกษตรพึ่งตนเอง (สำหรับพ่อค้าคนจีนไม่เคยสัมผัสมาก่อน ดูเหมือนไม่มั่นคง เพราะโลกทุกวันนี้ต้องมีเงินไว้ใช้จ่าย) และเรื่องสำคัญคือ เปลี่ยนไปใช้นามสกุลภรรยา!! (อันนี้ไม่มันปกติแล้วเหมือนตั้งใจจะออกจากวงศ์ตระกูล)
สำหรับเรื่องนามสกุลนี้ได้ทำให้แม่ผมช๊อคไปเลย ผมบอกได้เลยว่าทั้งหลายนั้นผมไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่มันเป็นไปเองแล้วจะให้ทำอย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมเคยคิดไวัตั้งนานแล้วว่าถ้าผมแต่งงานเมื่อไร จะเปลี่ยนไปใช้นามสกุลภรรยาให้ดู
สำหรับเหตุผลนั้น ผมแค่มีความรู้สึกว่าผู้หญิงถูกกดขี่ตลอดเวลามานานมากแล้วในประวัติศาสตร์ไม่ว่าชาติไหน ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมผู้หญิงจะต้องเปลี่ยนสกุลไปใช้ตามผู้ชาย ทำไมต้องเปลี่ยนเป็นนาง ทำไมลูกผู้หญิงสำหรับคนจีนแล้วน่ารังเกียจ ทำไมๆ ทั้งหลาย ทั้งปวงล้วนมาจากความเห็นแก่ตัวจากคนริเริ่มประเพณีอะไรต่างๆ มาจากผู้ชายใช่หรือไม่ ผมแค่ต้องการแสดงให้เห็นว่าผู้ชายไม่ได้เห็นแก่ตัวและพร้อมที่จะเสียสละได้ ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาตามมาก็ตาม และไม่เคยคิดที่จะผูกขาดและหวงแหนอำนาจไว้กับตัว
ผมว่าผู้หญิงหลายคนก็ต้องรู้สึกหรือแม้แต่แม่ก็ตามยังเคยบ่นว่าอาม่าลำเอียงกับลูกผู้หญิง ไม่มีที่ดินให้มีแต่สมบัติที่ให้ครั้งเดียวตอนแต่งงาน เห่อหลานจากลูกชายมากกว่า หลานจากลูกสาว หลานจากลูกสาวแต่งงาน (คือตัวผมเอง) ก็ไม่ค่อยเห่อเท่าไร ตัวเองยังรู้สึกเลย แต่วันนี้จะมาต่อว่าผม อันที่จริงผมพอจะรู้หรอกว่าแม่อาจจะแคร์ความรู้สึกของคนรอบข้างมากไป
ผมโดนต่อว่า ว่าจะทำอะไรทำไมไม่ปรึกษากันก่อน เหมือนไม่เคยเห็นหัวกัน ซึ่งผมก็ยอมรับผิดตรงนี้ แต่ผมคิดในใจว่าถ้าปรึกษาก็คงจะมีปัญหาอยู่ดี ผมถามแม่กลับไปว่าทำไมเวลาผู้หญิงเปลี่ยนไปใช้สกุลผู้ชาย ไม่เห็นต้องปรึกษากันก่อนเลย คำตอบที่ได้ก็คือ "เค้าทำกันจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว" แต่สำหรับผมมันไม่ปกตินี่สิ หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมเห็นการกระทำกับผู้หญิงมันไม่ปกติ โดยเฉพาะคนจีนแล้วไม่ปกติอย่างมาก ในสมัยนึง (ยังอยู่จนถึงปัจจุบันหรือเปล่าไม่ทราบได้) คนจีนจะสามารถมีลูกได้เพียงคนเดียว ตามนโยบายจำกัดจำนวนประชากร ทีนี้พอได้ลูกผู้หญิงบางรายถึงกับฆ่าทิ้ง และนี่คือความไม่ปกติ
ลองยกตัวอย่างสมัยก่อนดู ให้เราลองมาคิดดูว่าแต่ก่อนนั้นกฏหมายหลังจากจดทะเบียนสมรสแล้วให้ฝ่ายหญิงเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของฝ่ายชายเท่านั้น มาสมัยนี้มีเพิ่มเข้ามาอีกคือ ให้ฝ่ายชายเปลี่ยนไปฝ่ายหญิง หรือให้ฝ่ายหญิงคงนามสกุลเดิมเอาไว้ ผมไม่เห็นด้วยกับข้อหลังเท่าไรนักเพราะถ้าสองฝ่ายตกลงจะอยู่ด้วยกันแล้ว ไม่มีฝ่ายไหนยอมเสียสละแล้วจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร หรือว่าพอถึงเวลามีลูกแล้ว จะให้ลูกเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของพ่อหรือแม่กันล่ะ
วันนี้ผมบอกได้เลยว่าผู้หญิงหลายคนก็อาจจะเป็นเหมือนผมเหมือนกันอย่างเวลาเขียนชื่อสกุลยังเผลอจะเขียนสกุลเดิมจนทำเอกสารเสียไปหลายครั้งหรือในหลายครั้งก็รู้สึกประหลาดๆ ในการที่ตัวเองต้องเปลี่ยนไปใช้นามสกุลใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่ของตัวเองที่ใช้มาตลอดตั้งแต่เกิด แต่ก็ต้องทำไปตามกฏหมายเท่านั้นเอง
หลายๆ คำพูดที่เราได้คุยกัน ไม่ว่าจะเป็น "เวลาจะทำอะไรให้คิดถึงคนที่อยู่ข้างหลังบ้าง นี่พ่อแม่ยังอยู่ยังรับรู้ได้อยู่ ถ้าตายไปแล้วก็ว่าไปอย่าง คิดถึงว่าคนที่จะถูกต่อว่าไม่ใช่ผม พ่อแม่ยังต้องอยู่ในสังคมเครือญาติอยู่ ยังต้องคบค้าสมาคมกันอยู่" ซึ่งผมก็คิดว่าผมไม่ได้ไปทำเรื่องร้ายแรงอย่างฆ่าคนหรือต้องคดีอาญาสักหน่อย คำสุดท้ายที่พูดคุยกันคือ "ไปเปลี่ยนกลับให้เป็นอย่างเดิม ถ้าไม่ได้ก็ไม่รู้จะให้ว่าอย่างไรแล้ว" ผมก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรก็ได้แต่จบบทสนทนาทางโทรศัพท์แต่เพียงเท่านี้ แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด ผมแค่ทำไปตามความเชื่อของตัวเองนั้นมันผิดตรงไหน
MrsJan
6 ก.ค. 49
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
1 ความคิดเห็น:
ถ้าเป็นคนอื่น จะตกใจ
แต่เป็นพี่ตี๋ ไม่สงสัยอะไรเลยกับเรื่องนี้
ธรรมดามาก
แสดงความคิดเห็น