31 พฤษภาคม 2549

พ็อคเก็ตบุ๊คเล่มล่าสุด

ตอนนี้อยู่จังหวัดตราด เดินสายพักผ่อนไปเรื่อยๆ หลังจากว่างงานอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคาดว่าครั้งนี้คงจะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต Employee และกำลังจะหันเหเข้าสู่ Self-Employed หรือ Business Owner หรือ Investor หรือว่าจะไม่เข้าหมวดใดๆ กันแน่ ก็ไม่อาจทราบได้

หึหึ วันนี้จะเล่นศัพท์สไตล์ พระคัมภีร์ของโลกทุนนิยมใหม่ เพราะ ได้ไปเจอะเข้ากับหนังสือที่ไม่นิยมอ่านสักเท่าไรแต่พอได้อ่านแล้วถึงได้ไม่แ ปลกใจว่าทำไมมันถึงเป็นหนังสือ Best Seller เพราะเป็นหนังสือที่จะค่อนข้างให้คำตอบของคนบนโลกยุคสมัยนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเยาะเย้ย ถากถาง แนวความคิดกระแสหลักในยุคอุตสาหกรรม ได้ค่อนข้างโดนใจ โดยการปรามาสว่าพวกที่ไม่รู้จักใช้เงินในการทำเงินให้งอกเงยเป็นพวกโง่ ล้าหลัง พวกที่ไม่พยายามหาอิสรภาพทางการเงินอย่างที่เค้าว่านั้น ควรคิดซะใหม่ และเสนอแนะวิธีคิดแบบคนรวยกันคนจนให้เห็นความแตกต่าง คนรวยคิดหาทางให้เงินงอกเงยได้โดยที่ไม่ต้องทำงานอะไรมากมายขอเพียงแค่ใช้ สมองคิด แต่คนจนนั้นต้องทำงานหนักตลอดชีวิตจะด้วยเพื่อเงินบำนาญในบั้นปลายหรือทาง แห่งแสงสว่างที่แม้แต่ตัวเองก็ยังมองไม่เห็น

แน่นอนเรื่องภาษีควรหลีกเลี่ยงหรือจ่ายให้น้อยที่สุด ด้วยกรรมวิธีที่ไม่ยากเย็นอะไรนัก เพียงแค่รู้ช่องกฏหมายภาษีที่มักจะขูดรีดกับบุคคลธรรมดา เรื่องพรรค์นี้ขอดูผู้นำประเทศเป็นตัวอย่าง ทำให้เหล่าคนจนทั้งหลาย ได้รู้วิธีของคนรวยได้โดยที่ไม่ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ แต่หนังสือก็ยังไม่ลืมหยอดด้านมนุษยธรรมด้วยการบอกว่าหลังจากที่เรามีอิสรภา พทางการเงินแล้วเราจะมีเวลาว่างมากขึ้น ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ ทำกิจกรรมทางสังคมได้มากขึ้น มีเนื้อหาเหล่านี้อยู่นิดหน่อย (ประมาณ 5 บรรทัด) เพื่อที่จะบอกกับพวกเราว่าโลกทุนนิยมไม่ได้เป็นโลกของปีศาจร้ายอย่างที่พวก นักวิชาการสร้างภาพไว้อย่างนั้น

ในช่วงหนึ่งที่ผู้เขียนต้องว่างงาน เพื่อที่จะค้นหาอิสรภาพทางการเงิน ในเวลานั้นมีหลายครั้งที่ผู้เขียนหวนระลึกถึงรายได้ที่เข้ามาแน่นอนทุกๆ เดือน หรือเช่นว่าเราจะกลับไปหาความมั่นคงทางการงานแบบเดิมดีไหม และยังต้องคอยรับแรงเสียดทานจากคนรอบข้างอยู่เสมอว่า "ทำไมไม่หางานทำ" เป็นต้น ทำให้นึกถึงตอนที่ผมออกจากงานที่แรกใหม่ๆ ช่วงแรกๆ ก็สบายๆ แต่พอสักพักก็นึกถึงรายได้ที่เข้ามาในบัญชีพอกพูนไม่ขาดสาย มาวันนี้มันกลับลดลงเรื่อยๆ อย่างน่าใจหาย แต่ผมไม่เคยคิดจะกลับไปหาความมั่นคงทางการงานแบบเดิมอีก

สิ่งที่ผมค้นหาคล้ายคลึงกับผู้เขียนหลายอย่าง ต้องการทำงานน้อยๆ มีเวลามากๆ ไม่ต้องการทำงานหนักเพื่อเป็นหนี้ตลอดชีวิต แต่สิ่งที่ค้นหาในวันนี้ไม่ใช่อิสรภาพทางการเงิน แต่เป็นอิสรภาพทางการดำรงชีพแบบมนุษย์ ถ้าผมตั้งคำถามว่าในยามที่เงินของคุณไม่มีค่าอะไรเลย (ด้วยเหตุสงคราม ภัยธรรมชาติ หรืออะไรก็แล้วแต่) เงินที่คุณมีอยู่อาจจะซื้ออาหารสักมื้อของผมก็ยังไม่ได้เลยในยามขาดแคลน ถามว่านั่นเป็นหนทางที่ยั่งยืนแล้วหรือยัง

ผู้เขียนคงลืม (หรือไม่รู้ตัวเลย พอๆ กับพวกยุคอุตสาหกรรมที่คุณว่า) ว่ามนุษย์นั้นต้องกินอาหารเพื่อดำรงชีพ ถ้าคุณอ้างว่าแนวคิดนี้ เป็นแนวคิดของโลกยุคหลังอุตสาหกรรมหรือที่คุณอ้างว่าเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวส าร ก็ไม่แน่ว่า ในแบบของผมอาจจะเป็นแนวความคิดของโลกหลังยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร ที่โลกมนุษย์กำลังเข้าสู่ยุคเถื่อน มนุษย์ต้องแย่งชิงอาหารเพื่อยังชีพ มนุษย์ต้องกลับไปอยู่ในยุคก่อนเกษตรกรรมอีกครั้งหนึ่ง เท่านี้ผมก็ก้าวหน้าคุณไปอีกก้าวนึงแล้วสิ คุณมันก็แค่พวกล้าหลังเท่านั้นแหละว้า

ถึงแม้ว่าเนื้อหาในหนังสือจะมีหลายอย่างที่น่าสนใจและให้ความรู้อยู่ไม่น้อย แต่หนังสือเล่มนี้เมื่ออ่านจบแล้วสำหรับผมนั้นไม่ได้ต่างจาก Work@Home ภาครวมเล่ม (ที่พวกเรามักจะนำมันลง Junk ในทันทีทันใด) เลยทีเดียว

MrsJan
31 พ.ค. 49