06 กรกฎาคม 2549

ผู้ชายสำคัญกว่าผู้หญิง?

ช่วงนี้ผมมีปัญหากับทางบ้านอีกแล้ว ซึ่งบางครั้งผมก็คิดว่าทำไมผมจะต้องหาเรื่องให้ได้เถียงกันด้วย ทำไมไม่ทำตามๆ เค้าดูบ้างจะได้หมดเรื่อง แต่ก็ต้องกลับมาถามตัวเองในภายหลังอีกนั่นแหละว่าทำไมคราวนั้นถึงไม่ทำอย่างนี้ ก็ต้องเลือกเอาว่าจะขัดแย้งกับคนอื่นหรือจะขัดแย้งกับตัวเอง

ผมเกิดในครอบคร้วคนจีนแท้ๆ อพยพจากเมืองจีนแท้ๆ ไม่มีผสม แม้แต่ญาติพี่น้องใครแต่งกับใคร ยังไง แน่นอนว่าต้องจีนร้อยเปอร์เซนต์ เพราะไม่อย่างนั้นอาม่าต้องบ่นแน่นอน ทีนี้ไอ้หลานไม่รักดีคนนี้ก็ไม่เคยทำอะไรให้ถูกใจไปซะทุกอย่าง ตั้งแต่ สะใภ้ก็ไทย (คนจีนจะมีอคติกับคนไทยเหมือนในละคร) ไปอาศัยที่นาฝ่ายหญิงจะปลูกบ้าน (เหมือนแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง) ไปทำการเกษตรพึ่งตนเอง (สำหรับพ่อค้าคนจีนไม่เคยสัมผัสมาก่อน ดูเหมือนไม่มั่นคง เพราะโลกทุกวันนี้ต้องมีเงินไว้ใช้จ่าย) และเรื่องสำคัญคือ เปลี่ยนไปใช้นามสกุลภรรยา!! (อันนี้ไม่มันปกติแล้วเหมือนตั้งใจจะออกจากวงศ์ตระกูล)

สำหรับเรื่องนามสกุลนี้ได้ทำให้แม่ผมช๊อคไปเลย ผมบอกได้เลยว่าทั้งหลายนั้นผมไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่มันเป็นไปเองแล้วจะให้ทำอย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมเคยคิดไวัตั้งนานแล้วว่าถ้าผมแต่งงานเมื่อไร จะเปลี่ยนไปใช้นามสกุลภรรยาให้ดู

สำหรับเหตุผลนั้น ผมแค่มีความรู้สึกว่าผู้หญิงถูกกดขี่ตลอดเวลามานานมากแล้วในประวัติศาสตร์ไม่ว่าชาติไหน ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมผู้หญิงจะต้องเปลี่ยนสกุลไปใช้ตามผู้ชาย ทำไมต้องเปลี่ยนเป็นนาง ทำไมลูกผู้หญิงสำหรับคนจีนแล้วน่ารังเกียจ ทำไมๆ ทั้งหลาย ทั้งปวงล้วนมาจากความเห็นแก่ตัวจากคนริเริ่มประเพณีอะไรต่างๆ มาจากผู้ชายใช่หรือไม่ ผมแค่ต้องการแสดงให้เห็นว่าผู้ชายไม่ได้เห็นแก่ตัวและพร้อมที่จะเสียสละได้ ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาตามมาก็ตาม และไม่เคยคิดที่จะผูกขาดและหวงแหนอำนาจไว้กับตัว

ผมว่าผู้หญิงหลายคนก็ต้องรู้สึกหรือแม้แต่แม่ก็ตามยังเคยบ่นว่าอาม่าลำเอียงกับลูกผู้หญิง ไม่มีที่ดินให้มีแต่สมบัติที่ให้ครั้งเดียวตอนแต่งงาน เห่อหลานจากลูกชายมากกว่า หลานจากลูกสาว หลานจากลูกสาวแต่งงาน (คือตัวผมเอง) ก็ไม่ค่อยเห่อเท่าไร ตัวเองยังรู้สึกเลย แต่วันนี้จะมาต่อว่าผม อันที่จริงผมพอจะรู้หรอกว่าแม่อาจจะแคร์ความรู้สึกของคนรอบข้างมากไป

ผมโดนต่อว่า ว่าจะทำอะไรทำไมไม่ปรึกษากันก่อน เหมือนไม่เคยเห็นหัวกัน ซึ่งผมก็ยอมรับผิดตรงนี้ แต่ผมคิดในใจว่าถ้าปรึกษาก็คงจะมีปัญหาอยู่ดี ผมถามแม่กลับไปว่าทำไมเวลาผู้หญิงเปลี่ยนไปใช้สกุลผู้ชาย ไม่เห็นต้องปรึกษากันก่อนเลย คำตอบที่ได้ก็คือ "เค้าทำกันจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว" แต่สำหรับผมมันไม่ปกตินี่สิ หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมเห็นการกระทำกับผู้หญิงมันไม่ปกติ โดยเฉพาะคนจีนแล้วไม่ปกติอย่างมาก ในสมัยนึง (ยังอยู่จนถึงปัจจุบันหรือเปล่าไม่ทราบได้) คนจีนจะสามารถมีลูกได้เพียงคนเดียว ตามนโยบายจำกัดจำนวนประชากร ทีนี้พอได้ลูกผู้หญิงบางรายถึงกับฆ่าทิ้ง และนี่คือความไม่ปกติ

ลองยกตัวอย่างสมัยก่อนดู ให้เราลองมาคิดดูว่าแต่ก่อนนั้นกฏหมายหลังจากจดทะเบียนสมรสแล้วให้ฝ่ายหญิงเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของฝ่ายชายเท่านั้น มาสมัยนี้มีเพิ่มเข้ามาอีกคือ ให้ฝ่ายชายเปลี่ยนไปฝ่ายหญิง หรือให้ฝ่ายหญิงคงนามสกุลเดิมเอาไว้ ผมไม่เห็นด้วยกับข้อหลังเท่าไรนักเพราะถ้าสองฝ่ายตกลงจะอยู่ด้วยกันแล้ว ไม่มีฝ่ายไหนยอมเสียสละแล้วจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร หรือว่าพอถึงเวลามีลูกแล้ว จะให้ลูกเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของพ่อหรือแม่กันล่ะ

วันนี้ผมบอกได้เลยว่าผู้หญิงหลายคนก็อาจจะเป็นเหมือนผมเหมือนกันอย่างเวลาเขียนชื่อสกุลยังเผลอจะเขียนสกุลเดิมจนทำเอกสารเสียไปหลายครั้งหรือในหลายครั้งก็รู้สึกประหลาดๆ ในการที่ตัวเองต้องเปลี่ยนไปใช้นามสกุลใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่ของตัวเองที่ใช้มาตลอดตั้งแต่เกิด แต่ก็ต้องทำไปตามกฏหมายเท่านั้นเอง

หลายๆ คำพูดที่เราได้คุยกัน ไม่ว่าจะเป็น "เวลาจะทำอะไรให้คิดถึงคนที่อยู่ข้างหลังบ้าง นี่พ่อแม่ยังอยู่ยังรับรู้ได้อยู่ ถ้าตายไปแล้วก็ว่าไปอย่าง คิดถึงว่าคนที่จะถูกต่อว่าไม่ใช่ผม พ่อแม่ยังต้องอยู่ในสังคมเครือญาติอยู่ ยังต้องคบค้าสมาคมกันอยู่" ซึ่งผมก็คิดว่าผมไม่ได้ไปทำเรื่องร้ายแรงอย่างฆ่าคนหรือต้องคดีอาญาสักหน่อย คำสุดท้ายที่พูดคุยกันคือ "ไปเปลี่ยนกลับให้เป็นอย่างเดิม ถ้าไม่ได้ก็ไม่รู้จะให้ว่าอย่างไรแล้ว" ผมก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรก็ได้แต่จบบทสนทนาทางโทรศัพท์แต่เพียงเท่านี้ แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด ผมแค่ทำไปตามความเชื่อของตัวเองนั้นมันผิดตรงไหน

MrsJan
6 ก.ค. 49

05 กรกฎาคม 2549

อิทธิฤทธิ์ยางลบดินสอ

ไม่ได้เขียนซะนานช่วงนี้มีงานประจำทำแล้ว และได้กำหนดวันหยุดให้กับตัวเองในวันเสาร์ อาทิตย์ เพื่อที่จะนั่งหน้าคอมพ์อย่างเดียว งานห้าเชียงที่จะส่งต่อให้เพื่อนที่เชียงราย เอาไป Upload ที่ Net Cafe ที่แปดริ้วแล้วไม่สำเร็จ Speed ในการ Upload ต่ำมาก ไม่เหมือนที่กรุงเทพ Upload 35k/sec ตกลงตัดใจใช้ส่งไปรษณีย์เอา

เรื่องที่พูดถึงมีอยู่ว่า ตอนจะไป Net cafe กำลังจะถ่ายงานลง SD Memory แล้วเจอปัญหาเกี่ยวกับ เครื่องอ่าน Memory หรือ Memory Reader ซึ่งพอเสียบเข้าไปในเครื่องมันดันอ่านอย่างเดียว ไม่สามารถเขียนได้ ไม่ได้เป็นที่ Write Protect ที่ตัว Memory ด้วย ใส่ตัวไหนไปก็เขียน File ลงไปไม่ได้เลย คิดในใจว่าต้องซื้อใหม่อีกแล้วตู

ไหนๆ ก็เจ๊งแล้วก็จัดการงัดแงะมันออกมาดู พูดถึงก็เหมือนกับ Notebook Toshiba ที่แงะมาแล้วหลายครั้งเนื่องจากแป้น Keyboard ชอบทำงานเพี้ยนๆ ส่อแวว ทำใจมาก็หลายครั้งแล้วก็ไม่เจ๊งจริงๆ สักที กะไว้ว่าถ้ามันเจ๊งจริงๆ เมื่อไรจะเอามาทำ Server ซะให้เข็ด จะได้กลายเป็น Server ที่เล็กที่สุดในโลก เอา Notebook น้ำหนัก 1 กิโล มาทำ Server แต่แบก Notebook อ้วนดำๆ 3 กิโลกว่าๆ ไปไหนมาไหนคงจะดูไม่จืด

ต่อเรื่อง Memory Reader หลังจากแงะมาดูแล้วก็ส่องๆ ไปแถวๆ แผงวงจร ตำแหน่งที่วงกลมสีแดง เห็นคราบกาว คราบเขม่า ก็เอาดินสอ เขี่ยๆ ขูดๆ แบบไม่กลัวพัง เพราะไหนๆ มันก็รวนแล้ว ลองใช้งานใหม่ดูก็ไม่หาย ทีนี้เลยลองเอายางลบถูๆ ขูดๆ จนมันออกหมด แล้วลองใหม่ ปรากฏว่า อาการ Readonly หายไปแล้ว ไชโย

ฟังดูคล้ายๆ กับ Ram ที่เค้าว่ากันว่าถ้า Com ทำงานผิดปกติจะเกี่ยวกับ Ram หรือเปล่าไม่รู้ เอายางลบไปถูๆ มันซะ ก็จะทำงานได้ตามปกติ งานนี้โชคดีไม่ต้องเสียตังค์ให้กับ Technology อีกแล้ว

* ช่วงนี้ได้ยินคนสติไม่สมประกอบลั่นวาทะ "ผู้ดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" อ่านครั้งแรก ก็สะดุดในคำพูดและได้ทำนายไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า เป็นเรื่องแน่ มันกลับมาแล้ว มาจนถึงวันนี้ ก็เป็นไปอย่างที่ว่าจริงๆ คอยดูการจุดชนวนครั้งใหม่ที่กำลังจะประทุอีกครั้ง

MrsJan
5 ก.ค. 49